วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

12 กลยุทธ์ความรวย ผ่านหนังสือ "สูตรลับเศรษฐี"



12 กลยุทธ์ความรวย ผ่านหนังสือ "สูตรลับเศรษฐี"



              “สูตรลับเศรษฐี” หนังสือที่ถูกถ่ายทอดโดย เฉลียว สุวรรณกิตติ รองประธานกรรมการทรู คอร์ปอเรชั่น ที่ใช้นามปากกาในการเขียนว่า ปัญญาลักษณ์ สุวรรณฯ ความน่าสนใจของหนังสือเล่ม
นี้อยู่ที่การรวบรวมประสบการณ์จริงของบุคคลระดับผู้บริหารของ  ทรู คอร์ปอเรชั่น และอีกหลายต่อ
หลายองค์กรก่อนหน้านี้ ที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับมหาเศรษฐีทั้งไทยและเทศมามากต่อมาก ร่วมกับการค้นคว้าข้อมูลวิจัยจากหนังสือและบทความต่างๆ จากซีกโลกตะวันตก-ตะวันออก มาสังเคราะห์ออก
เป็น "สูตร" สู่การเป็นเศรษฐี
“ผมได้นำเอาประสบการณ์จากชีวิตจริงที่ได้จากการสัมผัสและรู้จักกับเศรษฐีและมหาเศรษฐีหลายๆ
 ท่านทั้งในประเทศและต่างประเทศ พบว่าแต่ละคนนั้นมีวิธีการคิด มีวิถีการดำเนินชีวิตที่ใกล้เคียงกัน"
ปัญญลักษณ์นิยามของ ”เศรษฐี” โดยเปรียบเทียบกับคำว่า "Millionaire" ดังนั้นใครก็ตามที่มีทรัพย์สินสุทธิรวมทั้งเงินสด เงินฝากธนาคาร (ไม่นับบ้าน-ที่อยู่อาศัย) ในปัจจุบันเกินกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือถ้าเป็นคนอังกฤษ ก็ต้องมีเกินกว่า 1 ล้านปอนด์ ถ้าเป็นคนยุโรปอื่นๆ ก็ต้องมีเกินกว่า 1 ล้านยูโร ก็สามารถเรียกแทนตัวเองว่า...เศรษฐี ได้แล้ว
เขายังบอกว่า สาเหตุที่ตั้งชื่อหนังสือเป็นภาษาอังกฤษว่า Millionaire Code นั้น เพื่อต้องการล้อกับหนังสือ รหัสลับดาวินชี หรือ The Davinci Code
“ผมมีนัยสำคัญในการล้อ เพราะนวนิยายเรื่องรหัสลับดาวินชีนั้น ผูกรหัสลับไว้กับตัวละครหลายตัวน่า
ตื่นเต้น มีบาดเจ็บล้มตาย แต่สุดท้ายลายแทงนั้น กลับนำไปสู่ความว่างเปล่าไม่มีสาระ เช่นเดียวกับชีวิตมนุษย์ที่ต้องการไต่เต้าไปสู่การเป็นเศรษฐี บางคนรู้จักจุดเพียงพอ แต่บางคนที่ไม่รู้จักพอทำให้ชีวิตประสบกับความยากลำบากอย่างคาดไม่ถึง การตั้งเป้าหมายและนิยามการเป็นเศรษฐีจึงเป็นเรื่องเฉพาะที่เจ้าตัวจะนิยาม” เขาเล่า
เฉลียวเล่าว่า น่าเสียดายที่เขาค้นพบสูตรลับเศรษฐีเมื่ออายุล่วงเลยวัยกลางคนไปมากแล้ว การจะนำสูตรลับบางข้อมาปฏิบัติก็สายเกินกว่าจะเริ่มต้นได้แล้ว จึงหวังว่าการนำสูตรลับนี้มาเปิดเผย จะช่วยให้คนที่อยากประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีได้นำไปปฏิบัติ เรียนรู้ให้ลึกซึ้ง รับรองว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
ส่วนผสมของการเป็นเศรษฐีที่ว่านี้ ประกอบด้วยหลัก 12 ข้อ ประกอบด้วย การเป็นคนเก่งรอบตัว, การเป็นผู้รู้จักใช้โอกาสของชีวิตอย่างเต็มที่, การมีวิสัยทัศน์และชอบศึกษาโดยไม่จำกัด, การมีลักษณะผู้นำ, การมีศิลปะและรู้จักใช้เทคนิคหน้าหนาใจดำ, การรู้จักเลือกพี่เลี้ยงและสนับสนุนอย่างถูกต้องและถูกจังหวะ
การมีความสามารถในการสร้างข่ายใย, ความสามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสทุกกรณี,การเป็นคนช่างคิดช่างทำ (นักคิดและนักปฏิบัติ), การรู้ค่าของเงิน และสุดท้าย คือ การมีดวงดีและมีทัศนคติที่ดี
“ผมเองเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาจากแรงบันดาลใจที่ว่า ตั้งใจที่จะทดแทนบุญคุณแผ่นดินเป็นสำคัญ เพราะแผ่นดินไทยให้อะไรกับผมหลายอย่าง การที่ผมได้พบปะผู้คนที่เป็นเศรษฐีและมหาเศรษฐี ได้เห็นแนวคิดของแต่ละคน จึงอยากจะให้คนทั่วๆ ไปได้รู้ และเห็นว่ามีประโยชน์มาก สามารถชี้ช่องให้กับคนทั่วไปที่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสตัวจริงเสียงจริงของเศรษฐีเหล่านั้น”
เขายังฝากถึงคนที่อยากเป็นเศรษฐีว่า...“จะต้องสร้างสำนึกเป็นอัตโนมัติว่าเราจะต้องสร้างฐานะ และต้องถามตัวเองก่อนว่าใจอยากจะร่ำรวยแค่ไหน ถ้าไม่มีความรู้สึกอยากจะรวยอย่างดื่มด่ำแล้ว อย่าอ่านหนังสือเล่มที่ว่าต่อไปเลย เพราะเสียเวลาเปล่า”
นอกจากเคล็ดลับทั้ง 12 ข้อแล้ว เขายังได้เน้นในเรื่องของ PASSION หรือการทำงานด้วยใจรัก ซึ่งเป็นความจำเป็นพื้นฐานของผู้ที่อยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต ผู้ที่อ่านหนังสือเล่มนี้ยังจะสนุกกับการสำรวจตัวเองว่า....คุณมีคุณสมบัติพื้นฐานของเศรษฐีหรือไม่ โดยผู้เขียนได้จัดทำวิธีสำรวจไว้เป็นพิเศษ พร้อมวิธีการแก้ไขปัญหา โดยผู้เขียนจะพยายามหาคำตอบในทุกหัวข้อเรื่องว่า เมื่อรู้ว่าจะทำอะไรก่อนจะก้าวเป็นเศรษฐีแล้ว จะต้องรู้ด้วยว่าจะทำอย่างไรด้วย จากนั้นจะต้องลงมือปฏิบัติให้ครบวงจร
หนังสือเล่มนี้ ยังแนะนำถึงการวางยุทธศาสตร์ให้กับชีวิต หรือที่เขาเรียกว่า ”การเขียนแผนที่ชีวิต” อย่างมีระบบและหลักเกณฑ์ นอกจากการเขียนด้านการงานแล้ว ยังได้หยิบยกประเด็นในเรื่องสุขภาพกาย-สุขภาพจิต ตลอดจนความสัมพันธ์ในครอบครัวมาเล่าไว้เป็นการเตือนสติให้นึกถึง "ดุลยภาพ" ของชีวิต ซึ่งจะต้องมีครบทุกส่วนจึงจะมีความสุขได้
ระหว่างงานแถลงข่าว เฉลียวได้ยกตัวอย่างคุณสมบัติของเศรษฐีข้อหนึ่งคือ การเป็นคนเก่งรอบตัว จะต้องประกอบด้วย เก่งตน-เก่งคน และเก่งงาน
เก่งตน คือ มีความสามารถส่วนตัวที่โดดเด่นกว่าคนปกติ คือ ต้องคิดเก่ง พูดเก่ง เขียนเก่ง จดจำเก่ง และฟังเก่ง
เก่งคน คือ มีความสามารถที่จะใช้คนรอบตัวให้เกิดประโยชน์ คือ มีความสามารถในการใช้คนระดับสูงกว่า คนระดับเดียวกัน และคนระดับล่าง
เก่งงาน คือ ต้องเรียนรู้งานเร็ว สามารถมองงานในมุมกว้าง ทำงานเป็น และทำงานด้วยใจรัก
“ในระหว่างที่ผมเขียนหนังสือเล่มนี้อยู่นั้น มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในประเทศไทยจนนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต้องหลุดออกจากตำแหน่ง ใครๆ ก็รู้ว่านายกฯ ท่านนี้ เก่งตน เก่งงาน อย่างหาตัวจับได้ยาก แต่เห็นชัดว่าท่านไม่เก่งคน แม้จะมีเสียงสนับสนุนมากถึง 14 ล้านคน ก็ช่วยไม่ได้ นี่แสดงให้เห็นว่าคนจะประสบกับความสำเร็จต้องเก่งรอบตัว” เขากล่าว
สำหรับปัญญาลักษณ์ สุวรรณฯ นั้น ไม่ใช่นักเขียนหน้าใหม่อย่างที่หลายคนคิดกัน หากเอ่ยชื่อ ”นายหนูใหญ่” เชื่อว่านักอ่านหลายท่านคงจะคุ้นชื่อ เพราะเป็นนามปากกาที่เขาใช้มาตลอด อีกทั้งเขายังเป็นศิษย์เอกของ”นายหนหวย”
เขาเริ่มเขียนบทความมาตั้งแต่เรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย จนกระทั่งปี 2538 ได้เริ่มเขียนคอลัมน์ต่างๆ อย่างจริงจัง และได้นำบทความเหล่านั้นมารวมเล่ม 5 เล่ม ภายใต้นามปากกาดังกล่าว
“ผมผ่านการประกอบอาชีพมาหลายอย่าง เริ่มจากการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ผันตัวเองไปสู่แวดวงรัฐวิสาหกิจจนเป็นซีอีโอของรัฐวิสาหกิจสำคัญหลายแห่ง เคยเป็นเจ้าของกิจการแต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ในช่วงหลังๆ ผมเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเอกชนหลายแห่งในฐานะ มือปืนรับจ้าง ที่ดูจะประสบความสำเร็จมากกว่าการเป็นเจ้าของกิจการ“ เขากล่าว
นอกจากนี้ เขายังได้รับการยอมรับจากผู้ประกอบอาชีพเดียวกันจนได้เป็นนายกสมาคมการค้า และสมาคมอาชีพหลายสมาคม เช่น อดีตนายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยอยู่หลายสมัย ในยุคก่อตั้ง อดีตเลขาธิการหอการค้าไทย และเป็นคนสำคัญในการขยายเครือข่ายหอการค้าไทยออกไป 76 แห่งทั่วประเทศ
ปัญญลักษณ์ เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทางด้านบัญชี จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ MBA จากสหรัฐอเมริกา โดยได้รับทุนจากสหประชาชาติ (UN)
เขายังทิ้งท้ายไว้ว่า หากอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้วยังไม่ทราบว่า...เศรษฐีหมายถึงใคร หมายถึง คนรวยแค่ไหน ก็ไม่ต้องสงสัย เพราะเขาตั้งใจที่จะปล่อยให้เป็นคำถามปลายเปิด คือให้ผู้อ่านแต่ละท่านได้นิยามคำว่า "เศรษฐี" ตามแต่ใจปรารถนา



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น