วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ออมเงินวันนี้ ก็เหมือนเป็นการประกันชีวิตของเราในวันข้างหน้า



ออมเงินวันนี้ ก็เหมือนเป็นการประกันชีวิตของเราในวันข้างหน้า

การเงินคุณเป็นไงบ้างครับ หลายๆ  ครั้งที่ต้องเจอกับปัญหาต่างๆ  มากมายที่ทำให้เราต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง ของมีค่าโดยที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว ถ้าเรามีทรัพย์สินหรือเงินทองเพียงพออยู่ในมือแล้วก็ไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ แต่ถ้าเราไม่มีอะไรเลยหละครับก็ต้องสร้างหนี้สินกันอีกครับ เอาง่ายๆ จากประสบการณ์ของผมเองก็แล้วกันครับ ผมเป็นพนักงานเงินเดือนทำงานทั้งปีไม่มีเงินเก็บเลยครับ ยิ่งทำยิ่งเป็นหนี้ มันเกิดอะไรขึ้น ผมว่าหลายๆ  ท่านคงเป็นเหมือนกัน รับเงินเดือนตอนสิ้นเดือน ต้นเดือนก็หมดกันแล้วค่าใช้จ่ายแต่ละคนเข้าใจครับมากมายจริง ๆ ค่าบัตร ค่าบ้าน ค่ารถ ในเมื่อต้นเดือนเงินจะหมดกันแล้ว พอมาถึงปลายเดือนสุดท้ายไม่มีเงินกันแล้วครับ บางคนต้องไปหากู้เงินดอกมาใช้ก่อนในที่สุดก็เลยต้องจมอยู่กับการวนเวียนใช้หนี้กันต่อไป แล้วถ้าหากมีเรื่องที่จำเป็นต้องใช้เงินหละครับ ก็ต้องไปกู้เงินดอกมาใช้ก่อนหรือไม่ก็ไปสมัครบัตรกดเงินสดมาใช้จ่าย ผมว่ามาออมกันดีกว่าครับ ไม่ต้องมากแต่ขอให้มี


                 มีอยู่หลายวิธีที่ท่านจะสามารถเก็บออมในแต่ละวันในแต่ละเดือนได้ การที่เราเก็บออมก็เหมือนเป็นการประกันชีวิตของเราเอาไว้เพื่อวันข้างหน้า เราไม่รู้ใช่มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับการคำรงชีวิตของเราในวันข้างหน้าที่จะมาถึงนี้ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดก็คือเตรีอมตัวของเราให้พร้อม ให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นให้ได้โดยที่เราต้องพึ่งพาตัวเราเองให้ได้เป็นอันดับแรกเสียก่อน ก่อนที่จะไปพึ่งพาคนอื่นเขาเริ่มจะยาวไปกันใหญ่แล้วครับ เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับผมว่า…
การออมเงิน  อย่างที่หัวข้อได้กล่าวไปนั้นทุกท่านสามารถทำได้ ไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งแรกที่ท่านต้องรู้คือรายรับกับรายจ่ายครับ ให้ท่านทำบัญชีรายรับรายจ่ายของแต่ละวันเอาไว้ บางท่านบอกไม่มีเวลายุ่งมาก ไม่ต้องทำก็ได้ครับแต่เรามาสร้างนิสัยให้คนในครอบครัวของเรากันครับทำอย่างไรใช่มั้ยครับเรามาดูกัน
1. บ้านออมเงิน เป็นการที่คนในครอบครับมีส่วนร่วมในการเก็บเงินช่วยกันโดยหยอดออมสินส่วนกลางกัน วันละครั้งต่อคนเป็นเหมือนกิจวัตรของคนในครอบครัวต้องทำกันทุกคน กิจกรรมนี้ไม่ใช่เพียงแต่ได้ออมเงินแต่เป็นการปลูกฝังจิตใต้สำนึกของลูกๆ  หลานๆ  ในบ้านของเราได้ดีอีกด้วย ไม่จำเป็นว่าจะต้องหยอดออมสินกันมากมีบาทสองบาทก็ได้แล้วแต่คนในครอบครัวเราครับ
2.เก็บเงินโดยหักจากบัญชีของเรา ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินฝากประจำครับ เพียงแต่แยกบัญชีไปอีกที่ก็เท่านั้นเอง โดยให้หักจากบัญชีของเราเอาไว้ทุกๆ  เดือนแต่ถ้าจะให้ดีสำหรับท่านที่เก็บเงินเอาไว้ไม่อยู่ก็น่าจะเปิดบัญชีแบบประจำเอาไว้เลยน่าจะดีนะครับ บางท่านถามมาว่าให้หักจากบัญชีของเราไปอีกบัญชีหนึ่งมันก็มีค่าเท่าเดิม ยิ่งฝากไม่ประจำแล้วก็สามารถเบิกได้ตลอดเวลาอยู่ดี เรียนให้ทราบเลยครับจิตวิทยาก็มีผลต่อคนเรามากนะครับ ทำไมคนเราบางคนถึงไม่สามารถเก็บเงินได้ครับเพราะอะไร ก็เพราะพวกเขาเหล่านั้นขาดการจัดการเงินของตัวเองไงครับ ถ้าเราแยกเงินออกจากกันเราจะรู้ได้เลยว่าเงินก้อนนี้เอาไปใช้อะไร ก้อนไหนเก็บก้อนไหนจ่าย ต่อไปสิ้นเดือนเราก็สามารถบริหารจัดการ การเงินได้เป็นอย่างดี
3.หยุดของฟุ่มเฟือย ให้เรานึกถึงแต่สิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันของเราเข้าไว้แล้วให้เราเปรียบเทียบกันไปเลย ว่าเราจะเลือกใช้อันไหน ถ้าเราหยุดของฟุ่มเฟือยได้ก็จะเป็นการประหยัดมากๆ เลยครับ

วิธีออมเงินอย่างฉลาด ออมอย่างไรให้รวย
1.ออมกับกองทุนเลี้ยงชีพ สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณมีผลกำไลในวันข้างหน้าหรือพูดง่ายๆ  คือเงินดอกนั้นเอง อย่างการออมกับกองทุนเลี้ยงชีพเราก็จะได้เปอร์เซ็นตามอายุงานของเรา ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทนั้นๆ  ด้วยครับ พูดถึงการออมเงินแบบนี้คุ้มมั้ย บอกตามตรงได้มากกว่าฝากกับธนาคารอีกครับ บ้างครั้งเราทำงานผ่านไปเดือนๆ หนึ่ง เราอาจจะรู้สึกได้ว่าเราได้เงินครบทุกเดือน แต่ที่จริงแล้วเราถูกหักเงินไปโดยที่เราไม่ได้คิดถึงมันเลยจึงทำให้วิธีนี้คุ้มค่ามาก พนักงานเงินเดือนรีบไปสมัครกับกองทุนด่วนเลย…

ออมเงินวันนี้เพื่อวันข้างหน้า
วันนี้คุณออมกันหรือยังครับหลังจากได้อ่านบทความนี้ เดือนอยากบอกว่าผมเอาเงินเหรียญ 25 สตางค์กับ 50 สตางค์ไปแลกทุกเดือน ๆ หนึ่งก็ได้ประมาณ 50 – 100  บาท ลองคิดดูนะครับว่าแล้วที่ไม่ใช่เงินสตางค์มากกว่าขนาดไหน หวังว่าทุกท่านคงมีเงินเก็บซื้อบ้าน ซื้อรถกันทุกๆ  คนนะครับ ถ้ามีข้อมูลเพื่มเติมอย่างไรเดี๋ยวจะอัพเดทให้ครับ



วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

12 กลยุทธ์ความรวย ผ่านหนังสือ "สูตรลับเศรษฐี"



12 กลยุทธ์ความรวย ผ่านหนังสือ "สูตรลับเศรษฐี"



              “สูตรลับเศรษฐี” หนังสือที่ถูกถ่ายทอดโดย เฉลียว สุวรรณกิตติ รองประธานกรรมการทรู คอร์ปอเรชั่น ที่ใช้นามปากกาในการเขียนว่า ปัญญาลักษณ์ สุวรรณฯ ความน่าสนใจของหนังสือเล่ม
นี้อยู่ที่การรวบรวมประสบการณ์จริงของบุคคลระดับผู้บริหารของ  ทรู คอร์ปอเรชั่น และอีกหลายต่อ
หลายองค์กรก่อนหน้านี้ ที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับมหาเศรษฐีทั้งไทยและเทศมามากต่อมาก ร่วมกับการค้นคว้าข้อมูลวิจัยจากหนังสือและบทความต่างๆ จากซีกโลกตะวันตก-ตะวันออก มาสังเคราะห์ออก
เป็น "สูตร" สู่การเป็นเศรษฐี
“ผมได้นำเอาประสบการณ์จากชีวิตจริงที่ได้จากการสัมผัสและรู้จักกับเศรษฐีและมหาเศรษฐีหลายๆ
 ท่านทั้งในประเทศและต่างประเทศ พบว่าแต่ละคนนั้นมีวิธีการคิด มีวิถีการดำเนินชีวิตที่ใกล้เคียงกัน"
ปัญญลักษณ์นิยามของ ”เศรษฐี” โดยเปรียบเทียบกับคำว่า "Millionaire" ดังนั้นใครก็ตามที่มีทรัพย์สินสุทธิรวมทั้งเงินสด เงินฝากธนาคาร (ไม่นับบ้าน-ที่อยู่อาศัย) ในปัจจุบันเกินกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือถ้าเป็นคนอังกฤษ ก็ต้องมีเกินกว่า 1 ล้านปอนด์ ถ้าเป็นคนยุโรปอื่นๆ ก็ต้องมีเกินกว่า 1 ล้านยูโร ก็สามารถเรียกแทนตัวเองว่า...เศรษฐี ได้แล้ว
เขายังบอกว่า สาเหตุที่ตั้งชื่อหนังสือเป็นภาษาอังกฤษว่า Millionaire Code นั้น เพื่อต้องการล้อกับหนังสือ รหัสลับดาวินชี หรือ The Davinci Code
“ผมมีนัยสำคัญในการล้อ เพราะนวนิยายเรื่องรหัสลับดาวินชีนั้น ผูกรหัสลับไว้กับตัวละครหลายตัวน่า
ตื่นเต้น มีบาดเจ็บล้มตาย แต่สุดท้ายลายแทงนั้น กลับนำไปสู่ความว่างเปล่าไม่มีสาระ เช่นเดียวกับชีวิตมนุษย์ที่ต้องการไต่เต้าไปสู่การเป็นเศรษฐี บางคนรู้จักจุดเพียงพอ แต่บางคนที่ไม่รู้จักพอทำให้ชีวิตประสบกับความยากลำบากอย่างคาดไม่ถึง การตั้งเป้าหมายและนิยามการเป็นเศรษฐีจึงเป็นเรื่องเฉพาะที่เจ้าตัวจะนิยาม” เขาเล่า
เฉลียวเล่าว่า น่าเสียดายที่เขาค้นพบสูตรลับเศรษฐีเมื่ออายุล่วงเลยวัยกลางคนไปมากแล้ว การจะนำสูตรลับบางข้อมาปฏิบัติก็สายเกินกว่าจะเริ่มต้นได้แล้ว จึงหวังว่าการนำสูตรลับนี้มาเปิดเผย จะช่วยให้คนที่อยากประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีได้นำไปปฏิบัติ เรียนรู้ให้ลึกซึ้ง รับรองว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
ส่วนผสมของการเป็นเศรษฐีที่ว่านี้ ประกอบด้วยหลัก 12 ข้อ ประกอบด้วย การเป็นคนเก่งรอบตัว, การเป็นผู้รู้จักใช้โอกาสของชีวิตอย่างเต็มที่, การมีวิสัยทัศน์และชอบศึกษาโดยไม่จำกัด, การมีลักษณะผู้นำ, การมีศิลปะและรู้จักใช้เทคนิคหน้าหนาใจดำ, การรู้จักเลือกพี่เลี้ยงและสนับสนุนอย่างถูกต้องและถูกจังหวะ
การมีความสามารถในการสร้างข่ายใย, ความสามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสทุกกรณี,การเป็นคนช่างคิดช่างทำ (นักคิดและนักปฏิบัติ), การรู้ค่าของเงิน และสุดท้าย คือ การมีดวงดีและมีทัศนคติที่ดี
“ผมเองเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาจากแรงบันดาลใจที่ว่า ตั้งใจที่จะทดแทนบุญคุณแผ่นดินเป็นสำคัญ เพราะแผ่นดินไทยให้อะไรกับผมหลายอย่าง การที่ผมได้พบปะผู้คนที่เป็นเศรษฐีและมหาเศรษฐี ได้เห็นแนวคิดของแต่ละคน จึงอยากจะให้คนทั่วๆ ไปได้รู้ และเห็นว่ามีประโยชน์มาก สามารถชี้ช่องให้กับคนทั่วไปที่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสตัวจริงเสียงจริงของเศรษฐีเหล่านั้น”
เขายังฝากถึงคนที่อยากเป็นเศรษฐีว่า...“จะต้องสร้างสำนึกเป็นอัตโนมัติว่าเราจะต้องสร้างฐานะ และต้องถามตัวเองก่อนว่าใจอยากจะร่ำรวยแค่ไหน ถ้าไม่มีความรู้สึกอยากจะรวยอย่างดื่มด่ำแล้ว อย่าอ่านหนังสือเล่มที่ว่าต่อไปเลย เพราะเสียเวลาเปล่า”
นอกจากเคล็ดลับทั้ง 12 ข้อแล้ว เขายังได้เน้นในเรื่องของ PASSION หรือการทำงานด้วยใจรัก ซึ่งเป็นความจำเป็นพื้นฐานของผู้ที่อยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต ผู้ที่อ่านหนังสือเล่มนี้ยังจะสนุกกับการสำรวจตัวเองว่า....คุณมีคุณสมบัติพื้นฐานของเศรษฐีหรือไม่ โดยผู้เขียนได้จัดทำวิธีสำรวจไว้เป็นพิเศษ พร้อมวิธีการแก้ไขปัญหา โดยผู้เขียนจะพยายามหาคำตอบในทุกหัวข้อเรื่องว่า เมื่อรู้ว่าจะทำอะไรก่อนจะก้าวเป็นเศรษฐีแล้ว จะต้องรู้ด้วยว่าจะทำอย่างไรด้วย จากนั้นจะต้องลงมือปฏิบัติให้ครบวงจร
หนังสือเล่มนี้ ยังแนะนำถึงการวางยุทธศาสตร์ให้กับชีวิต หรือที่เขาเรียกว่า ”การเขียนแผนที่ชีวิต” อย่างมีระบบและหลักเกณฑ์ นอกจากการเขียนด้านการงานแล้ว ยังได้หยิบยกประเด็นในเรื่องสุขภาพกาย-สุขภาพจิต ตลอดจนความสัมพันธ์ในครอบครัวมาเล่าไว้เป็นการเตือนสติให้นึกถึง "ดุลยภาพ" ของชีวิต ซึ่งจะต้องมีครบทุกส่วนจึงจะมีความสุขได้
ระหว่างงานแถลงข่าว เฉลียวได้ยกตัวอย่างคุณสมบัติของเศรษฐีข้อหนึ่งคือ การเป็นคนเก่งรอบตัว จะต้องประกอบด้วย เก่งตน-เก่งคน และเก่งงาน
เก่งตน คือ มีความสามารถส่วนตัวที่โดดเด่นกว่าคนปกติ คือ ต้องคิดเก่ง พูดเก่ง เขียนเก่ง จดจำเก่ง และฟังเก่ง
เก่งคน คือ มีความสามารถที่จะใช้คนรอบตัวให้เกิดประโยชน์ คือ มีความสามารถในการใช้คนระดับสูงกว่า คนระดับเดียวกัน และคนระดับล่าง
เก่งงาน คือ ต้องเรียนรู้งานเร็ว สามารถมองงานในมุมกว้าง ทำงานเป็น และทำงานด้วยใจรัก
“ในระหว่างที่ผมเขียนหนังสือเล่มนี้อยู่นั้น มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในประเทศไทยจนนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต้องหลุดออกจากตำแหน่ง ใครๆ ก็รู้ว่านายกฯ ท่านนี้ เก่งตน เก่งงาน อย่างหาตัวจับได้ยาก แต่เห็นชัดว่าท่านไม่เก่งคน แม้จะมีเสียงสนับสนุนมากถึง 14 ล้านคน ก็ช่วยไม่ได้ นี่แสดงให้เห็นว่าคนจะประสบกับความสำเร็จต้องเก่งรอบตัว” เขากล่าว
สำหรับปัญญาลักษณ์ สุวรรณฯ นั้น ไม่ใช่นักเขียนหน้าใหม่อย่างที่หลายคนคิดกัน หากเอ่ยชื่อ ”นายหนูใหญ่” เชื่อว่านักอ่านหลายท่านคงจะคุ้นชื่อ เพราะเป็นนามปากกาที่เขาใช้มาตลอด อีกทั้งเขายังเป็นศิษย์เอกของ”นายหนหวย”
เขาเริ่มเขียนบทความมาตั้งแต่เรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย จนกระทั่งปี 2538 ได้เริ่มเขียนคอลัมน์ต่างๆ อย่างจริงจัง และได้นำบทความเหล่านั้นมารวมเล่ม 5 เล่ม ภายใต้นามปากกาดังกล่าว
“ผมผ่านการประกอบอาชีพมาหลายอย่าง เริ่มจากการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ผันตัวเองไปสู่แวดวงรัฐวิสาหกิจจนเป็นซีอีโอของรัฐวิสาหกิจสำคัญหลายแห่ง เคยเป็นเจ้าของกิจการแต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ในช่วงหลังๆ ผมเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเอกชนหลายแห่งในฐานะ มือปืนรับจ้าง ที่ดูจะประสบความสำเร็จมากกว่าการเป็นเจ้าของกิจการ“ เขากล่าว
นอกจากนี้ เขายังได้รับการยอมรับจากผู้ประกอบอาชีพเดียวกันจนได้เป็นนายกสมาคมการค้า และสมาคมอาชีพหลายสมาคม เช่น อดีตนายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยอยู่หลายสมัย ในยุคก่อตั้ง อดีตเลขาธิการหอการค้าไทย และเป็นคนสำคัญในการขยายเครือข่ายหอการค้าไทยออกไป 76 แห่งทั่วประเทศ
ปัญญลักษณ์ เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทางด้านบัญชี จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ MBA จากสหรัฐอเมริกา โดยได้รับทุนจากสหประชาชาติ (UN)
เขายังทิ้งท้ายไว้ว่า หากอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้วยังไม่ทราบว่า...เศรษฐีหมายถึงใคร หมายถึง คนรวยแค่ไหน ก็ไม่ต้องสงสัย เพราะเขาตั้งใจที่จะปล่อยให้เป็นคำถามปลายเปิด คือให้ผู้อ่านแต่ละท่านได้นิยามคำว่า "เศรษฐี" ตามแต่ใจปรารถนา